รู้จักการออกแบบสไตล์โมเดิร์นมีกี่แบบ

May 21, 2025 views

การตกแต่งสไตล์โมเดิร์นยังคงเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยเสน่ห์ของความเรียบง่าย โปร่งสบาย แต่แฝงไปด้วยความทันสมัยและฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ หลายคนอาจกำลังสงสัยว่าจริง ๆ แล้วสไตล์โมเดิร์นมีกี่แบบกันแน่? แบบไหนถึงจะเรียกว่า “โมเดิร์น” ที่แท้จริง บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงแก่นแท้ของสไตล์โมเดิร์น ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ลักษณะเด่น พร้อมไปดูกันว่าสไตล์โมเดิร์นมีกี่แบบ เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกนำไปปรับใช้กับการตกแต่งพื้นที่ได้อย่างมั่นใจและตรงใจที่สุด

ที่มาของ สไตล์โมเดิร์น

จุดกำเนิดของสไตล์โมเดิร์นเริ่มต้นในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 20 โดยได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากขบวนการทางศิลปะและสถาปัตยกรรมในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Bauhaus School โรงเรียนสอนศิลปะและวิจิตรศิลป์ในเยอรมนี แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อปฏิเสธการตกแต่งที่หรูหรา ฟุ่มเฟือย และซับซ้อนในยุคก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการผลิตจำนวนมาก ฟังก์ชันการใช้งาน และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สไตล์โมเดิร์นจึงเน้นการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็น เลือกใช้วัสดุสมัยใหม่ และนำรูปทรงเรขาคณิตที่ตรงไปตรงมา มาเป็นหัวใจหลักของการออกแบบ ก่อเกิดเป็นความงามรูปแบบใหม่ที่เน้นความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง

การออกแบบสไตล์โมเดิร์นคืออะไร

การออกแบบสไตล์โมเดิร์นคืออะไร

การออกแบบสไตล์โมเดิร์น คือ การออกแบบที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชันและความเรียบง่าย โดยมีแนวคิดหลักคือ Form Follows Function จุดเด่นของสไตล์นี้คือการใช้เส้นสายที่สะอาดตา รูปทรงเรขาคณิต ไม่มีการตกแต่งหรือประดับประดาที่เกินจำเป็น เน้นพื้นที่เปิดโล่งให้ความรู้สึกโปร่งสบาย แสงธรรมชาติส่องถึง การใช้สีมักเป็นโทนสีกลาง ๆ เช่น ขาว เทา ดำ เบจ และใช้วัสดุที่สะท้อนความทันสมัย เช่น เหล็ก กระจก คอนกรีต ควบคู่ไปกับวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ที่ผ่านการตกแต่งให้ดูเรียบง่าย

การออกแบบสไตล์โมเดิร์นมีกี่แบบ

เมื่อพูดถึงคำถามที่ว่า สไตล์โมเดิร์นมีกี่แบบ? ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “โมเดิร์น” เป็นคำที่มีความหมายกว้าง และเมื่อเวลาผ่านไป สไตล์โมเดิร์นดั้งเดิมก็ได้ถูกนำไปตีความ ผสมผสาน และพัฒนาต่อยอด เกิดเป็นสไตล์ย่อย ๆ ที่มีความแตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่ยังคงรักษาแก่นแท้บางอย่างของความเป็นโมเดิร์นไว้ อย่างไรก็ตาม หากจะแบ่งประเภทเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราสามารถจำแนกสไตล์โมเดิร์นเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ดังนี้

1. โมเดิร์นคลาสสิก

สไตล์โมเดิร์นคลาสสิกรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 (ประมาณปี 1940s-1960s) ถือเป็นยุคทองของดีไซเนอร์ชื่อดังหลายคน เป็นการผสานความเรียบง่ายแบบโมเดิร์นเข้ากับความรู้สึกอบอุ่นและเป็นธรรมชาติมากขึ้น มีการใช้เส้นสายโค้งมนผสมผสานกับเส้นตรง เน้นเฟอร์นิเจอร์ที่ดีไซน์โปร่ง เพรียว ทำจากไม้สีธรรมชาติ หรือวัสดุสมัยใหม่อย่างพลาสติกขึ้นรูป โทนสีมักจะอบอุ่นขึ้น มีการใช้สีเอิร์ธโทน สีเขียวมะกอก สีส้มอิฐ เข้ามาผสมผสาน 

2. โมเดิร์นคอนเทมโพรารี

โมเดิร์นคอนเทมโพรารีเป็นสไตล์เป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสความคลาสสิคและความทันสมัยให้เข้ากันได้อย่างลงตัว ดังนั้น สไตล์โมเดิร์นคอนเทมโพรารีจึงเป็นการหยิบยืมเอาองค์ประกอบเด่นของโมเดิร์น เช่น ความเรียบง่าย เส้นสายสะอาด มาผสมผสานกับเทรนด์การออกแบบในยุคปัจจุบัน อาจมีการใช้เส้นโค้งที่นุ่มนวลขึ้น การใช้วัสดุที่หลากหลายและมีเท็กซ์เจอร์มากขึ้น โทนสีอาจมีความหลากหลายกว่าโมเดิร์นดั้งเดิม แต่ยังคงเน้นความโปร่งสบาย ไม่รกรุงรัง ถือเป็นอีกแนวทางที่ตอบโจทย์ผู้ที่สงสัยว่าสไตล์โมเดิร์นมีกี่แบบ และต้องการความทันสมัย

3. โมเดิร์น Luxury

โมเดิร์น Luxury เป็นสไตล์ที่ยกระดับความเรียบง่ายของสไตล์โมเดิร์นขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการผสานเข้ากับความหรูหรา สง่างาม และพิถีพิถันในทุกรายละเอียด แต่ยังคงยึดหลักการพื้นฐานของโมเดิร์นคือความเรียบ โปร่ง โล่ง แต่จะเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียมที่มีราคาสูง เช่น หินอ่อนแท้ ไม้เนื้อดี โลหะขัดเงา (ทองเหลือง โรสโกลด์) ผ้ากำมะหยี่ หนังแท้ อาจมีการตกแต่งด้วยงานศิลปะหรือโคมไฟดีไซน์หรูหรา เน้นคุณภาพและความประณีตในการตกแต่ง มากกว่าปริมาณของตกแต่งเยอะ ๆ 

4. สแกนดิเนเวียโมเดิร์น (Scandinavian Modern)

สแกนดิเนเวียโมเดิร์นเป็นสไตล์ที่ได้รับความนิยมโดยเฉพาะในประเทศไทย เพราะสไตล์นี้มีรากฐานใกล้เคียงกับ Mid-Century Modern เน้นความเรียบง่าย ฟังก์ชัน และการใช้วัสดุธรรมชาติ โดยเฉพาะไม้สีอ่อน ๆ แต่จะเพิ่มบรรยากาศของความอบอุ่น เป็นกันเอง และความสว่างสดใสเข้ามามากขึ้น เน้นการใช้สีขาวเป็นพื้นหลัง แสงธรรมชาติ เฟอร์นิเจอร์เส้นสายเรียบง่ายแต่ดูสบาย ๆ มีการใช้สิ่งทอ เช่น พรม หรือผ้าคลุม เพื่อเพิ่มความนุ่มนวล 

ลักษณะของการออกแบบสไตล์โมเดิร์น

ลักษณะของการออกแบบสไตล์โมเดิร์น
  •  ความสบาย สะอาดตา : หัวใจหลักคือความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นเส้นตรง แนวตั้ง แนวนอน หรือรูปทรงเรขาคณิตพื้นฐาน หลีกเลี่ยงการตกแต่งที่ซับซ้อน ลวดลายแกะสลัก หรือส่วนโค้งที่ไม่จำเป็น
  • โทนสี : เน้นโทนสีกลาง ๆ เป็นหลัก เช่น ขาว เทา เบจ ดำ เพื่อสร้างความรู้สึกสงบ สบายตา และทำให้พื้นที่ดูกว้างขวาง อาจมีการใช้สีสดใสหรือสีเข้มเข้ามาเป็นจุดเน้นในสัดส่วนที่น้อย เพื่อไม่ให้พื้นที่ดูฉูดฉาดมากเกินไป
  • วัสดุ : มีการผสมผสานระหว่างวัสดุธรรมชาติและวัสดุสมัยใหม่ เช่น ไม้ คอนกรีต เหล็ก สเตนเลส กระจก หนัง พลาสติกคุณภาพสูง การเลือกใช้วัสดุเหล่านี้สะท้อนความทันสมัยและความเรียบง่าย
  • พื้นที่เปิดโล่ง : นิยมออกแบบให้พื้นที่ใช้สอยหลัก เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร และห้องครัว เชื่อมต่อถึงกัน ทำให้เกิดความรู้สึกโปร่ง โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก 
  • แสงธรรมชาติ : ให้ความสำคัญกับการนำแสงธรรมชาติเข้ามาในบ้านให้มากที่สุด ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ประตูกระจก หรือช่องแสงต่าง ๆ โดยมักใช้ม่านหรือมู่ลี่ที่เรียบง่าย ไม่บดบังทัศนียภาพ
  • เฟอร์นิเจอร์ : มีดีไซน์ที่เรียบง่าย รูปทรงสะอาดตา เน้นประโยชน์ใช้สอย มักมีขาโปร่ง เพรียว เพื่อให้ดูเบาและไม่ทึบตัน พื้นผิวมักจะเรียบ อาจทำจากไม้ โลหะ หรือวัสดุสมัยใหม่

สรุป

สไตล์โมเดิร์นมีกี่แบบ นั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัวเป็นจำนวนแน่ชัด เนื่องจากมีการแตกแขนงและผสมผสานกับสไตล์อื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญของสไตล์โมเดิร์นคือความเรียบง่าย ฟังก์ชันการใช้งาน เส้นสายสะอาด และความโปร่งสบาย การรู้ว่าสไตล์โมเดิร์นมีกี่แบบเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ให้คุณเลือกแนวทางที่สะท้อนตัวตนและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ดีที่สุดสำหรับใครที่อยากออกแบบร้านค้า ร้านกาแฟ หรือจะเป็นพื้นที่ร้านอาหารด้วยสไตล์โมเดิร์น Studio Perception เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบตกแต่งภายใน โดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์พื้นที่ที่ไม่เพียงแค่สวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพและความสำเร็จในธุรกิจด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน หากสนใจการออกแบบและตกแต่งภายในติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือโทร 098 098 5488

Share

admin

All posts

Related posts